Author: Waree Boonnoi

  • แชร์เทคนิคทำ SEO WordPress ให้ง่ายต่อการติดอันดับ

    เว็บไซต์สามารถทำได้หลายเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็น WordPress, Wix, Joomla, Drupal และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ WordPress (ระบบ CMS : Content Management System) ที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์การสร้างคอนเทนต์และรองรับการทำ SEO ได้ครบเครื่องมากที่สุดนั่นเอง แต่การสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับบน Google แต่อย่างใด สุดท้ายแล้วคุณก็ต้องงัดเทคนิคในการทำ SEO มาใช้งานและทำ SEO ด้วยวิธีที่ถูกต้อง เพื่อให้ง่ายต่อการติดอันดับมากที่สุด

    สำหรับบทความนี้ เราก็ได้นำข้อมูลดี ๆ เรื่องเทคนิคการทำ SEO WordPress 2024 จาก ANGA (เอเจนซี่รับทำ SEO) มาฝากกัน ใครที่กำลังหาวิธีดันอันดับเว็บไซต์ กระตุ้น Traffic หรือเร่งยอดขายอยู่ ตามไปดูเทคนิคดี ๆ กันได้เลย!

    1. การเลือก Hosting ที่ดี

    เริ่มต้นจากการเลือก Hosting กันก่อนเลย โดยพิจารณาจากคุณสมบัติของ Hosting ว่าเหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ จากปัจจัยในด้านต่าง ๆ อาทิ ประเภทของ Hosting, การ Support ของผู้ให้บริการ, ระบบรักษาความปลอดภัย, มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในประเทศไทย (หรือประเทศที่กลุ่มเป้าหมายอาศัยอยู่), ใช้ระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บไซต์น้อย, มี Uptime สูง, มีพื้นที่เก็บข้อมูล และ Bandwidth ที่เหมาะสมกับปริมาณ Traffic บนเว็บไซต์ และพิจารณาจากฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ต้องการ อย่างการ Backup ข้อมูล หรือการติดตั้ง SSL Certificate เป็นต้น

    2. เปิด Search Engine Visibility

    การเปิด Search Engine Visibility เป็นการเปิดอนุญาตให้ Search Engine สามารถมองเห็นและเข้ามาเก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ได้ ซึ่งถ้าคุณอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ก็ต้องเปิดการตั้งค่าในส่วนนี้ด้วย ไม่อย่างนั้น Google ก็จะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเว็บไซต์ของคุณเลย สามารถเข้าไปที่เมนู Setting > Reading > Search Engine Visibility และเอาเครื่องหมายติ๊กถูกตรง “Discourage search engines from indexing this site” ออกไป

    3. ทำ HTTPS เพิ่มความปลอดภัยให้เว็บไซต์

    HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) คือการยืนยันว่าเว็บไซต์ของคุณมีการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเว็บไซต์กับเบราว์เซอร์ของผู้ใช้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่จะโดนดักฟังหรือโจรกรรมข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกมั่นใจและรู้สึกปลอดภัยตลอดเวลาที่ใช้งานเว็บไซต์ โดย HTTPS สามารถทำได้โดยการติดตั้ง SSL Certificate กับผู้ให้บริการในด้านนี้โดยตรง

    4. ตั้งค่า URL Slug ให้กระชับและสื่อความหมาย

    URL Slug ที่ดีจะต้องสั้น กระชับ และสามารถสื่อความหมายได้ว่าหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยแนะนำให้นำคีย์เวิร์ดมาแต่งเป็นประโยคสั้น ๆ และตั้งเป็น URL Slug เช่น บทความเรื่อง “SEO คืออะไร” กำหนดคีย์เวิร์ดเป็นคำว่า “SEO คือ” แนะนำให้ตั้งค่า URL Slug เป็น “what-is-seo” เป็นต้น

    5. ติดตั้งปลั๊กอินเท่าที่จำเป็น

    WordPress มีปลั๊กอินให้ติดตั้งอยู่เยอะมาก ทั้งปลั๊กอินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ SEO ทั้งปลั๊กอินแคช และยังรวมไปถึงปลั๊กอินที่ใช้ในการเพิ่มฟีเจอร์ให้แก่เว็บไซต์ด้วย ถ้าคุณติดตั้งทั้งหมดล่ะก็ รับรองว่าเว็บไซต์ช้าและมีปัญหาตามมาแน่นอน ดังนั้น คุณจึงควรพิจารณาเลือกติดตั้งเฉพาะปลั๊กอินที่จำเป็นเท่านั้น จึงจะเป็นการดีที่สุด อาทิ Yoast SEO, Rank Math SEO, UpdraftPlus, WP Rocket,  BackWPUp ฯลฯ

    6. ใช้ 1 คีย์เวิร์ดต่อ 1 หน้า

    คีย์เวิร์ดเป็นคำที่ผู้ใช้งานใช้ในการค้นหาข้อมูล และอัลกอริทึมของ Google เอง ก็จะดึงหน้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับคีย์เวิร์ดดังกล่าวไปแสดงมากที่สุด การกำหนด 1 คีย์เวิร์ดต่อ 1 หน้าจะช่วยให้ Google รู้ว่าคุณต้องการนำเสนอหน้าเว็บไซต์ไหนสำหรับคีย์เวิร์ดคำนี้ เพื่อให้ Google สามารถนำไปแสดงผลได้อย่างถูกต้องแม่นยำที่สุด หากคุณนำ 1 คีย์เวิร์ดไปใช้กับหลาย ๆ หน้าจะทำให้ Google สับสน และทำให้อันดับเว็บไซต์ไม่คงที่หรือเพี้ยนไปจากเดิมได้

    ส่วนใครที่สงสัยว่า “แล้วในหนึ่งหน้า สามารถใช้คีย์เวิร์ดหลายคำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” โดยการกำหนดคีย์เวิร์ดหลัก 1 คำ และคีย์เวิร์ดรองที่เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google ในหลาย ๆ คีย์เวิร์ดแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการยัดเยียดคีย์เวิร์ด (Keyword Stuffing) ได้อีกด้วย

    7. ปรับแต่ง On-Page SEO

    On-Page SEO เป็นการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ โดยการวางโครงสร้างของเนื้อหาและองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ง่ายต่อการตรวจสอบของ Google Bot และสะดวกต่อการใช้งานของผู้ใช้ เช่น การกำหนด Heading Tag (H1-H6), Title, Meta Description, Internal Link, External Link, URL Slug, Content, Alt Text, Image, Schema Markup, Featured Snippets, Page Speed ฯลฯ

    8. อัปเดตเนื้อหาที่มีคุณภาพและสดใหม่

    Google มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดกลับไป จึงให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ใส่ใจในส่วนนี้ด้วย ซึ่งการเขียนบทความคุณภาพ มีเนื้อหาครบครัน อ่านแล้วได้ประโยชน์ และมีการอัปเดตข้อมูลให้สดใหม่อยู่เสมอ จะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานให้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น มีความน่าเชื่อถือ ดูเชี่ยวชาญ และทำให้ Google อยากนำไปจัดอันดับในตำแหน่งดี ๆ 

    9. ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการใช้งาน

    ใคร ๆ ก็อยากอยู่บนเว็บไซต์ที่ลื่นไหลและสะดวกต่อการใช้งานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ตัวคุณเอง หรือ Google ก็ตาม เว็บไซต์ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อผู้ใช้งานจะดึงให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นาน ช่วยลด Bounce Rate และเพิ่ม Conversion Rate ได้จริง เช่น เว็บไซต์โหลดเร็ว, ขนาด สี และแบบตัวอักษรอ่านง่าย, มีเมนูที่ง่ายต่อการเรียกใช้งาน, มี Breadcrumbs, Responsive Web Design, มีความปลอดภัย, รองรับหลายภาษา ฯลฯ

    10. สร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    การสร้าง Backlink เป็นอีกหนึ่งในพาร์ทของการทำ Off-Page SEO ที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับใครที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO WordPress เพราะ Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ (Traffic สูง มี DA สูง มีชื่อเสียง) จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราน่าเชื่อถือตามไปด้วย นอกจากนั้น ยังช่วยเพิ่ม Organic Traffic และ Conversion Rate ได้ดี ไม่แพ้กับ On-Page SEO เลย

    สรุปเรื่องเทคนิคการทำ SEO WordPress 2024

    เทคนิคการทำ SEO WordPress ที่เราได้นำมาแชร์ผ่านบทความนี้ สามารถนำไปปรับใช้บนเว็บไซต์ของคุณได้จริง ซึ่งการทำ SEO ให้ครอบคลุมครบทุกด้านอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานเสียหน่อย โดยเฉพาะกับขั้นตอนการเตรียมและออกแบบเว็บไซต์ แต่ในระหว่างนี้คุณก็สามารถจัดทำ Keyword Research และวางแผนการสร้างเนื้อหาเอาไว้ล่วงหน้าได้

    ทั้งนี้ การทำ SEO มีวิธีการที่แยกย่อยออกไปอีกมากมาย เรียกได้ว่ายืดหยุ่นมาก ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะนำไปปรับใช้อย่างไร หวังว่าบทความนี้จะช่วยไกด์เป็นแนวทางสำหรับคนที่กำลังหาวิธีทำ SEO WordPress ในปี 2024 นี้ได้ไม่มากก็น้อย และขอขอบคุณ ANGA Bangkok อีกครั้งสำหรับเทคนิคดี ๆ ที่ได้นำมาบอกต่อกันผ่านบทความนี้

  • เพลี้ยไฟไรแดงอันตรายกับพืชยังไง พร้อมวิธีกำจัดให้อยู่หมัด

    ในโลกของการเกษตร เพลี้ยไฟไรแดงเป็นปัญหาที่น่ากลัวมาก พวกมันเป็นแมลงเล็ก ๆ ที่สามารถทำลายพืชผลได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ หรือแม้กระทั่งพืชประดับ เพียงแค่การระบาดครั้งเดียวก็สามารถทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก ดังนั้นการรู้จักกับเพลี้ยไฟไรแดงและวิธีการจัดการกับมันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรและผู้ที่รักการทำสวน

    เพลี้ยไฟไรแดงคืออะไร?

    เพลี้ยไฟไรแดงหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tetranychus urticae เป็นแมลงขนาดเล็กมาก มักจะมีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหากสังเกตดี ๆ มักอาศัยอยู่บนใบพืช และมีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถระบาดในพื้นที่กว้างได้ภายในเวลาอันสั้น

    อันตรายจากเพลี้ยไฟไรแดงต่อพืช

    เพลี้ยไฟไรแดงมีความสามารถในการทำลายพืชอย่างรุนแรง มันจะดูดน้ำนมจากใบพืช ทำให้ใบเริ่มเหลือง แห้ง และตกในที่สุด ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของผลผลิตและคุณภาพของพืช นอกจากนี้ เพลี้ยไฟไรแดงยังเป็นพาหะของโรคพืชหลายชนิด เช่น ไวรัสหรือแบคทีเรียที่สามารถทำให้พืชตายได้

    ผลกระทบต่อพืชผลและผัก

    เพลี้ยไฟไรแดงสามารถทำให้ผลผลิตของผักและผลไม้ลดลงอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในพืชผลเช่น มะเขือเทศ เพลี้ยไฟไรแดงสามารถทำให้ผลผลิตลดลงถึง 50% ในพืชผักเช่น แตงกวา ผลกระทบจากเพลี้ยไฟไรแดงสามารถทำให้ต้นแตงกวาแห้งตายได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

    ผลกระทบต่อพืชประดับ

    เพลี้ยไฟไรแดงยังสามารถทำลายพืชประดับได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในดอกกุหลาบ เพลี้ยไฟไรแดงสามารถทำให้ใบเหลืองและร่วงได้ ซึ่งจะลดความสวยงามของดอกกุหลาบและทำให้ดอกบานได้น้อยลง

    วิธีการกำจัดเพลี้ยไฟไรแดง

    การจัดการกับเพลี้ยไฟไรแดงต้องใช้วิธีการหลากหลายเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ดังนี้

    1. การใช้สารเคมี

    การใช้สารเคมีเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการกำจัดเพลี้ยไฟไรแดง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกใช้สารเคมีที่มีความปลอดภัยต่อพืชและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น สารเคมีกลุ่มอะเวอร์เม็กติน (Avermectin) และกลุ่มไนโอนิคตินอยด์ (Neonicotinoids) ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยไฟไรแดง

    2. การใช้ศัตรูธรรมชาติ

    การใช้ศัตรูธรรมชาติเป็นวิธีที่ยั่งยืนและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างของศัตรูธรรมชาติที่สามารถกำจัดเพลี้ยไฟไรแดงได้ดี ได้แก่ ตัวอ่อนแมลงวันหางหนีบ (Stethorus punctillum) และตัวอ่อนด้วงสไปเดอร์ไมต์ (Phytoseiulus persimilis) ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเพลี้ยไฟไรแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    3. การควบคุมสภาพแวดล้อม

    การควบคุมสภาพแวดล้อมสามารถช่วยลดการระบาดของเพลี้ยไฟไรแดงได้ ตัวอย่างเช่น การลดความชื้นในพื้นที่ปลูก การเพิ่มการระบายอากาศ และการกำจัดวัชพืชที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเพลี้ยไฟไรแดง

    4. การใช้วิธีเชิงกล

    การใช้วิธีเชิงกล เช่น การล้างใบพืชด้วยน้ำแรง ๆ หรือการใช้แปรงขัดใบพืช สามารถช่วยกำจัดเพลี้ยไฟไรแดงได้ วิธีนี้เหมาะสำหรับการควบคุมการระบาดในระยะเริ่มต้น

    5. การใช้สารสกัดจากพืช

    การใช้สารสกัดจากพืช เช่น น้ำมันสะเดา (Neem oil) หรือสารสกัดจากกระเทียมและพริกไทย สามารถช่วยลดจำนวนเพลี้ยไฟไรแดงได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการไล่แมลงและยับยั้งการเจริญเติบโตของเพลี้ยไฟไรแดง

    สรุป

    เพลี้ยไฟไรแดงเป็นศัตรูพืชที่สามารถทำลายผลผลิตและคุณภาพของพืชได้อย่างรุนแรง การจัดการกับเพลี้ยไฟไรแดงต้องใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การใช้สารเคมี การใช้ศัตรูธรรมชาติ การควบคุมสภาพแวดล้อม การใช้วิธีเชิงกล และการใช้สารสกัดจากพืช ทั้งนี้เพื่อให้การกำจัดเพลี้ยไฟไรแดงได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สำหรับเกษตรกรและผู้ที่รักการทำสวน การเฝ้าระวังและการจัดการกับเพลี้ยไฟไรแดงตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้พืชเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงและให้ผลผลิตที่ดี

  • การซื้อหุ้นไทย: คู่มือสำหรับนักลงทุนมือใหม่

    ตลาดหุ้นไทยเปรียบเสมือนประตูสู่โอกาสในการต่อยอดเงินออมของคุณ แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาความรู้และวางแผนอย่างรอบคอบ บทความนี้จะมาช่วยแนะนำปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนซื้อหุ้นไทย รวมถึงกลยุทธ์การวางแผนลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณ

    ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อหุ้นไทย

    ในการลงทุนซื้อหุ้นไทยนั้น ไม่ใช่ว่าใครบอกว่าหุ้นตัวไหนดีก็รีบซื้อไปเสียหมด แต่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนหุ้นไทยอย่างเห็นผลลัพธ์ จำเป็นจะต้องวางแผนให้ดี เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนของคุณเอง  

    1. เป้าหมายทางการเงิน: กำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณอย่างชัดเจน ว่าต้องการผลตอบแทนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว
    2. ความอดทน: ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง นักลงทุนควรมีวินัย อดทน และพร้อมรับมือกับความผันผวนของราคาหุ้น
    3. กระจายความเสี่ยง: อย่าทุ่มเทเงินทั้งหมดลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นหลากหลายประเภทและอุตสาหกรรม
    4. ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด วิเคราะห์ผลประกอบการ สถานะทางการเงิน โครงสร้างธุรกิจ และแผนการขยายงาน
    5. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น อัตราส่วนทางการเงิน กำไรต่อหุ้น มูลค่าทางบัญชี
    6. วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค: ศึกษาแนวโน้มราคาหุ้น กราฟทางเทคนิค และสัญญาณทางเทคนิค
    7. ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้น
    8. เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้: เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม และบริการที่ดี
    9. ลงทุนอย่างมีสติ: ลงทุนด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรลงทุนด้วยอารมณ์ และควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

    กลยุทธ์การวางแผนลงทุนซื้อหุ้นไทย

    1. การลงทุนระยะยาว: เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาว เน้นการซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี เติบโตอย่างมั่นคง เก็บไว้เพื่อรับผลตอบแทนระยะยาว
    2. การลงทุนระยะสั้น: เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เน้นการเก็งกำไรระยะสั้น ซื้อขายหุ้นบ่อย อาศัยกลยุทธ์ทางเทคนิค
    3. การลงทุนแบบปันผล: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ เน้นการซื้อหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
    4. การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ซื้อหุ้นเป็นจำนวนเงินเท่าๆ กันเป็นระยะๆ โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น

    การซื้อหุ้นไทยเพื่อเก็บไว้: เหมาะกับการวางแผนเก็บเงินในอนาคตหรือไม่?

    การซื้อหุ้นไทยเพื่อเก็บไว้ระยะยาว อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการวางแผนเก็บเงินในอนาคต เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร แต่ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวางแผนอย่างรอบคอบ รวมถึงเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี เติบโตอย่างมั่นคง

  • เตรียมตัวก่อนสอบ ! รู้หรือไม่ กระดาษคำตอบ TOEIC ใช้ยังไง ?

    การสอบ TOEIC เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้หางานและพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากคะแนนสอบ TOEIC สามารถ สะท้อนถึงทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในบริบทการทำงาน หลายคนจึงทุ่มเทเวลาและความพยายามในการฝึกฝนเพื่อให้ได้คะแนนสอบที่ดี แต่รู้หรือไม่ว่า เทคนิคการใช้กระดาษคำตอบ TOEIC ก็มีผลต่อคะแนนสอบเช่นกัน บทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการใช้กระดาษคำตอบ TOEIC อย่างถูกต้อง รวมถึงเคล็ดลับการสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดีกัน

    วิธีใช้กระดาษคำตอบ TOEIC

    กระดาษคำตอบ TOEIC เป็นแผ่นกระดาษที่ใช้บันทึกคำตอบของคุณสำหรับข้อสอบ TOEIC บนกระดาษคำตอบจะมีช่องสำหรับแต่ละข้อ โดยต้องระบายช่องให้ตรงกับคำตอบที่เลือก ซึ่งในปัจจุบัน TOEIC มีรูปแบบการสอบแบบใช้คอมพิวเตอร์ (CBT) และแบบใช้กระดาษคำตอบ (PBT) บทความนี้จะเน้นไปที่รูปแบบการใช้กระดาษคำตอบ (PBT)

    วิธีกรอกข้อมูลลงบนกระดาษคำตอบ TOEIC

    1. ข้อมูลส่วนตัว

    • กรอกข้อมูลส่วนตัวลงบนช่องที่กำหนดให้ครบถ้วน เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน สัญชาติ
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่กรอกถูกต้อง

    2. ข้อมูลการสอบ

    • กรอกข้อมูลการสอบลงบนช่องที่กำหนดให้ครบถ้วน เช่น รูปแบบการสอบ (PBT) เวอร์ชันของข้อสอบ วันที่สอบ
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่กรอกถูกต้อง

    3. ระบายช่องคำตอบ

    • ใช้ดินสอ 2B ระบายช่องที่ตรงกับคำตอบที่คุณเลือก
    • ระบายให้เต็มช่อง ระวังอย่าให้เลอะเทอะ
    • ห้ามใช้ปากกา หมึกสี หรือดินสอชนิดอื่น

    4. ตรวจทาน

    • ตรวจทานคำตอบอีกครั้งก่อนส่ง
    • เช็กให้แน่ใจว่าระบายช่องที่ถูกต้อง

    เคล็ดลับเด็ด! พิชิตคะแนน TOEIC ให้พุ่งทะยาน

    การสอบ TOEIC กลายเป็นด่านสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดโอกาสทางการศึกษาและการทำงาน หลายคนทุ่มเทเวลาและความพยายามอย่างมากเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่รู้หรือไม่ว่า เทคนิคการทำข้อสอบมีบทบาทสำคัญต่อคะแนนของคุณไม่แพ้ความรู้ บทความนี้รวบรวมเคล็ดลับเด็ดที่จะช่วยให้คุณพิชิตคะแนน TOEIC ให้พุ่งทะยาน

    1. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ:

    • หมั่นฝึกฝนทำข้อสอบ TOEIC ทั้งแบบฝึกหัดและข้อสอบเก่า
    • ฝึกฝนทั้ง Listening และ Reading สลับกันไป
    • จับเวลาฝึกทำข้อสอบ เพื่อฝึกบริหารเวลาให้เหมาะสม

    2. พัฒนาทักษะการฟัง:

    • ฝึกฟังภาษาอังกฤษอยู่เสมอ จากสื่อต่าง ๆ เช่น เพลง หนัง ซีรีส์ ข่าว
    • ฝึกจับใจความสำคัญ และเดาคำศัพท์จากบริบท
    • ฝึกฟังหลาย ๆ สำเนียง

    3. พัฒนาทักษะการอ่าน:

    • ฝึกอ่านภาษาอังกฤษอยู่เสมอ จากสื่อต่าง ๆ เช่น บทความ หนังสือ ข่าว
    • ฝึกจับใจความสำคัญ และเดาคำศัพท์จากบริบท
    • ฝึกอ่านจับเวลา เพื่อฝึกบริหารเวลาให้เหมาะสม

    4. เรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์:

    • ท่องศัพท์ TOEIC เน้นคำศัพท์ที่พบบ่อยในข้อสอบ
    • ฝึกใช้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง

    5. ฝึกเทคนิคการทำข้อสอบ:

    • Listening:
      • ฟังคำถามให้เข้าใจ จด Keyword สำคัญ
      • เดาคำตอบจากตัวเลือก
      • ไม่วนกลับไปฟังคำถามที่ผ่านมา
    • Reading:
      • อ่านคำถามให้เข้าใจ จด Keyword สำคัญ
      • อ่าน passage เร็ว ๆ จับใจความสำคัญ
      • เดาคำตอบจากตัวเลือก
      • ไม่เสียเวลาแปลคำศัพท์ที่ไม่รู้

    เพียงเตรียมตัวและตั้งใจก็สามารถทำคะแนนสอบ TOEIC พิชิตตามเป้าหมายได้แล้ว !

  • ประกันคุ้มครองสำหรับนักเรียนในต่างแดน สำคัญอย่างไร

    www.freepik.com

    สำหรับนักเรียนไทยที่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา 3-6 เดือน หรือ 1-2 ปี การทำประกันคุ้มครองสำหรับนักเรียนในต่างแดน เพื่อคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย อุบัติเหตุ สิ่งของสูญหาย และความล่าช้าของเที่ยวบิน ย่อมทำให้เกิดความสบายใจ ลองมาดูกันว่าทำไมประกันเดินทางต่างประเทศถึงมีความสำคัญและเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม    

    • ประกอบการขอวีซ่านักเรียน

    การสมัครเข้าศึกษาต่อในบางประเทศถูกกำหนดไว้ ว่านักเรียนจะต้องมีประกันคุ้มครอง ในต่างแดนและต้องแนบเอกสารดังกล่าวในการยื่นขอวีซ่า หากไม่มีเอกสารประกันจะไม่สามารถยื่นขอวีซ่าได้ เพราะฉะนั้นประกันเดินทางต่างประเทศสำหรับนักเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ปกครองต้องเตรียมทำให้กับบุตรหลาน

    • คุ้มครองตั้งแต่ออกเดินทาง

    ความคุ้มครองของประกันเดินทางต่างประเทศสำหรับนักเรียนจะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่มีการเดินทางไปยังประเทศปลายทางและจะคุ้มครองตลอดช่วงระยะเวลาที่ศึกษาเล่าเรียน ซึ่งรวมถึงในกรณีที่ มีเหตุให้ต้องบินกลับมาประเทศไทยเพื่อรักษาอาการป่วยฉุกเฉิน ทั้งนี้ ควรทำประกันก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือ ซื้อล่วงหน้า 1 สัปดาห์      

    • แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย

    หากเคยเข้ารับการรักษาพยาบาลในต่างประเทศ ไม่ว่าจะกรณีล้มป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุ คง ทราบดีว่าค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศสูงเพียงใด โดยเฉพาะประเทศยอดฮิตที่คนไทยนิยมไปเรียนต่อ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย ดังนั้น การมีประกันเดินทางต่างประเทศเอาไว้จะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายไปได้มาก

    • เพิ่มความสบายใจ

    อีกหนึ่งผลพลอยได้จากการทำประกันเดินทางต่างประเทศสำหรับนักศึกษาต่างแดน คือ ความรู้สึกสบายใจช่วง ที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศ เนื่องจากในแต่ละวันคนเรามีโอกาสเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็น หกล้ม รถชน ล้มป่วยกะทันหัน เที่ยวบินล่าช้า สิ่งของสำคัญสูญหาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น แต่การมีประกันคุ้มครองสำหรับนักเรียนในต่างแดนจะช่วยเพิ่มความสบายใจ อย่างน้อยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มีเพื่อนคู่คิด มีตัวช่วยผ่อนหนักเป็นเบา

    เมื่อเห็นถึงความจำเป็นของ กันคุ้มครองสำหรับนักเรียนในต่างแดน เชื่อว่าครอบครัวไหนที่ต้องการส่งบุตรหลานไปเรียนต่อควรทำประกันเดินทางต่างประเทศสำหรับนักเรียนเอาไว้แม้ประเทศนั้น ๆ จะบังคับใช้เป็นเอกสารประกอบการขอวีซ่าหรือไม่ก็ตาม ประกันจะช่วยแบ่งเบาภาระหนักเป็นเบา ทำให้รับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึง เพิ่มความสบายใจตลอดระยะเวลาการเรียนในต่างประเทศอีกด้วย

  • การเคลมประกันรถยนต์คืออะไร รอนานไหม ต้องทำอย่างไรบ้าง

    การขับขี่รถยนต์ในปัจจุบัน แม้เราจะขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากเพียงใด แต่อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และมักมาในแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ด้วยเหตุนี้การทำประกันภัยรถยนต์ไว้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมแซมรถยนต์ และมีค่ารักษาพยาบาลในกรณีบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ โดยไม่ต้องควักเงินเก็บมาจ่ายเอง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาจริง การเคลมประกันนั้นยุ่งยากหรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบให้แล้ว

    เอกสารที่ใช้ในการเคลมประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง ?

    เอกสารที่ใช้ในการเคลมประกันภัยรถยนต์ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

    1. เอกสารทั่วไป

    • ใบแจ้งความ กรณีเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เอกสารฉบับแรกที่ต้องมีคือ ใบแจ้งความจากสถานีตำรวจ
    • บัตรประชาชนอสำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย
    • ใบขับขี่ สำเนาใบขับขี่ของผู้ขับขี่รถยนต์ในขณะเกิดเหตุ
    • เล่มทะเบียนรถ สำเนาเล่มทะเบียนรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย
    • กรมธรรม์ประกันภัย สำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
    • ใบเคลมประกันภัย กรณีบริษัทประกันภัยมีใบเคลมประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัย กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
    • รูปถ่ายสถานที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุโดยรอบ แสดงให้เห็นสภาพถนน สัญญาณไฟจราจร ป้ายทะเบียนรถคู่กรณี (กรณีมี) และร่องรอยความเสียหายของรถยนต์
    • ใบเสร็จค่าซ่อม กรณีเคลมแบบซ่อมแซมเอง ต้องมีใบเสร็จค่าซ่อมจากอู่ที่ได้มาตรฐาน

    2. เอกสารเพิ่มเติม กรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บ

    • ใบรับรองแพทย์ กรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องมีใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลที่ระบุรายละเอียดของบาดเจ็บ การรักษา และค่าใช้จ่าย
    • ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล กรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องมีใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาล

    การเคลมประกันรถยนต์ มีขั้นตอนอย่างไร ?

    1. แจ้งเหตุ 

    เมื่อเกิดเหตุการณ์ เจ้าของรถยนต์ควรแจ้งบริษัทประกันภัยโดยเร็วที่สุด โดยสามารถแจ้งผ่านทางโทรศัพท์ หมายเลขฉุกเฉิน หรือแอปพลิเคชั่นของบริษัทประกันภัย

    1. เตรียมเอกสาร

    เตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเคลมประกัน เช่น ใบแจ้งความ บัตรประชาชน ใบขับขี่ เอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ และรูปถ่ายสถานที่เกิดเหตุ

    1. ส่งเอกสาร

    ส่งเอกสารที่เตรียมไว้ให้กับบริษัทประกันภัย โดยสามารถส่งทางไปรษณีย์ หรือยื่นด้วยตนเองที่สาขาของบริษัทประกันภัย

    1. รอพิจารณา

    บริษัทประกันภัยจะพิจารณาเอกสารและตรวจสอบความเสียหาย

    1. รับเงินชดเชย

    เมื่อบริษัทประกันภัยอนุมัติการเคลม ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินชดเชยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย

    การเคลมประกันรถยนต์ต้องรอนานไหม ?

    ระยะเวลาการเคลมประกันรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของกรมธรรม์ ความรุนแรงของความเสียหาย และประสิทธิภาพของบริษัทประกันภัย โดยทั่วไปแล้ว การเคลมประกันสำหรับกรณีรถยนต์เสียหายเล็กน้อย อาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่สำหรับกรณีที่มีความเสียหายร้ายแรง หรือต้องส่งซ่อมแซมที่อู่ที่ทางบริษัทประกันภัยแนะนำ อาจจะใช้เวลานานหลายสัปดาห์

    ทำไมจึงควรเคลมประกันรถยนต์ทันทีหลังจากอุบัติเหตุ ?

    การเคลมเงินประกันทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ มีข้อดีดังนี้

    1. หลักฐานประกอบ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยังมีความสดใหม่ มีหลักฐานชัดเจน
    2. ความจำ ผู้ที่เกี่ยวข้องยังจำเหตุการณ์ได้แม่นยำ
    3. ร่องรอย ร่องรอยของความเสียหายยังคงอยู่
    4. การดำเนินการ ช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถดำเนินการตรวจสอบและพิจารณาได้รวดเร็ว

    การเคลมประกันรถยนต์ ไม่ใช่ขั้นตอนที่ยุ่งยากหากมีความเข้าใจ เพียงแค่แจ้งเหตุ เตรียมเอกสาร ส่งเอกสาร และรอผลการพิจารณา  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จะได้ไม่ต้องเคลมประกัน

  • เคล็ดลับการใช้งานรถขุดตักอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    รถขุดตักเป็นเครื่องจักรกลหนักที่มีประโยชน์อย่างมากในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การเกษตร และการทำเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเครื่องจักรกลหนักอื่น ๆ การใช้งานรถขุดตักที่ไม่เหมาะสมหรือประมาทเลินเล่อ อาจส่งผลร้ายแรงต่อผู้ใช้งาน บุคคลอื่น ๆ และทรัพย์สิน ได้เช่นเดียวกัน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด บล็อกนี้จะแนะนำเคล็ดลับสำคัญในการใช้งานรถขุดตัก

    1. ศึกษาวิธีการใช้งานอย่างละเอียด

    ก่อนใช้งานรถขุดตักทุกครั้ง ควรศึกษาวิธีการใช้งานอย่างละเอียด รวมถึงการควบคุมต่าง ๆ ฟังก์ชันการทำงาน และข้อควรระวัง โดยผู้ใช้งานควรอ่านคู่มือการใช้งานอย่างถี่ถ้วน และฝึกฝนการใช้งานในพื้นที่ปลอดภัยจนมั่นใจ

    1. ตรวจสอบสภาพเครื่องก่อนใช้งาน

    ก่อนเริ่มทำงานควรตรวจสอบสภาพเครื่องอย่างละเอียด เช่น ระดับน้ำมัน แรงดันลมยาง สภาพของสายไฮดรอลิก และระบบเบรก หากพบสิ่งผิดปกติใด ๆ ควรหยุดใช้งานและแจ้งช่างซ่อมเพื่อแก้ไข ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

    1. สวมใส่ชุดป้องกันทุกครั้ง

    ผู้ใช้งานรถขุดตักควรสวมใส่ชุดป้องกันที่เหมาะสม เช่น หมวกนิรภัย แว่นตานิรภัย ถุงมือ รองเท้าบู๊ต และเสื้อผ้าที่รัดกุม เพื่อป้องกันอันตรายจากเศษวัสดุ ประกายไฟ และเสียงดัง

    1. ทำงานในพื้นที่ปลอดภัย

    ควรเลือกพื้นที่ทำงานที่กว้างขวาง เรียบ และมั่นคง หลีกเลี่ยงการทำงานบนพื้นที่ลาดชัน ขรุขระ หรือใกล้กับสิ่งกีดขวาง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

    1. ขับขี่อย่างระมัดระวัง

    ขับขี่รถขุดตักด้วยความเร็วที่เหมาะสม ควบคุมเครื่องจักรอย่างนิ่มนวล หลีกเลี่ยงการกระแทกหรือเบรกกะทันหัน ใช้สัญญาณเตือนเมื่อจำเป็น และสังเกตการณ์รอบข้างอย่างระมัดระวัง

    1. ยกและเคลื่อนย้ายวัสดุอย่างถูกวิธี

    ยกและเคลื่อนย้ายวัสดุด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินพิกัด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัสดุถูกยึดเกาะอย่างมั่นคงบนถัง และยกของสูงเพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายโดยไม่กระทบสิ่งกีดขวาง

    1. ดูแลรักษาเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ

    ทำความสะอาดและตรวจสอบสภาพเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันไฮดรอลิก และไส้กรองตามกำหนด ตรวจสอบระบบเบรก ระบบไฟ และระบบไฮดรอลิกเป็นประจำ แจ้งช่างซ่อมเมื่อพบสิ่งผิดปกติ

    1. ปฏิบัติตามกฎระเบียบความปลอดภัย

    ปฏิบัติตามกฎระเบียบความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานรถขุดตัก เช่น สวมใส่ชุดป้องกัน ทำงานในพื้นที่ปลอดภัย และยกของอย่างถูกวิธี

    1. เข้ารับการอบรมเป็นประจำ

    เข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการใช้งานรถขุดตักเป็นประจำ เพื่อทบทวนความรู้ ฝึกฝนทักษะ และเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ

    1. รู้ขีดจำกัดของตัวเอง

    อย่าพยายามยกของหนักเกินพิกัด ทำงานในพื้นที่ที่อันตราย หรือทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถ หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษผู้เชี่ยวชาญหรือหยุดทำงาน

    การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้งานรถขุดตักทำงานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความประมาท

  • ประเภทการคุ้มครองที่ประกันภัยรถยนต์ครอบคลุม เมื่อผู้ขับขี่ต้องการปรับแต่งกรมธรรม์

    ในปัจจุบันมีประกันภัยรถยนต์หลายประเภทให้เลือกเพื่อให้เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายของผู้ขับขี่ใช้รถใช้ถนน ซึ่งประเภทความคุ้มครองเหล่านี้สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการและสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่และบริษัทประกันจะตกลงกัน

    1.ความคุ้มครองที่ครอบคลุม

    ความคุ้มครองที่ครอบคลุมครอบคลุมความเสียหายต่อยานพาหนะของคุณที่ไม่ได้เกิดจากการชน เช่น การโจรกรรม การทุบทำลาย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือการชนสัตว์ที่ไม่มีคู่กรณี

    2.การช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน

    ความคุ้มครองความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนจะให้บริการต่างๆ เช่น การลากจูง การซ่อมแซมยางแบน การจั๊มสตาร์ท และการจัดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อคุณติดอยู่บนถนน

    3.ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล

    เช่นเดียวกับ PIP ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับคุณและผู้โดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

    4.Gap Insurance

    หากคุณมีสินเชื่อรถยนต์หรือสัญญาเช่า Gap Insurance จะครอบคลุมส่วนต่างระหว่างมูลค่าเงินสดที่แท้จริงของรถของคุณกับยอดคงเหลือของสินเชื่อหรือสัญญาเช่าของคุณ ในกรณีที่รถของคุณถูกประกาศว่าขาดทุนทั้งหมด

    5.การคุ้มครองการบาดเจ็บส่วนบุคคล (PIP)

    หรือที่เรียกว่าการประกันภัย “ไม่มีความผิด” PIP จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าแรงที่สูญเสียสำหรับคุณและผู้โดยสาร โดยไม่คำนึงถึงความผิดในอุบัติเหตุ

    6.ประกันภัยรถยนต์คลาสสิก

    ออกแบบมาสำหรับรถโบราณหรือรถคลาสสิก การประกันภัยประเภทนี้คำนึงถึงมูลค่าและความต้องการเฉพาะของยานพาหนะเหล่านี้

    7.ความคุ้มครองชิ้นส่วนและอุปกรณ์สั่งทำพิเศษ

    หากคุณได้เพิ่มชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์สั่งทำพิเศษให้กับรถของคุณ ความคุ้มครองนี้ช่วยให้แน่ใจว่าการดัดแปลงเหล่านั้นจะได้รับการคุ้มครองในกรณีที่เกิดความเสียหายหรือการโจรกรรม

    การพิจารณาความต้องการเฉพาะ งบประมาณ และข้อกำหนดทางกฎหมายในพื้นที่ของคุณอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเลือกประเภทและระดับความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะกับคุณ การปรับแต่งกรมธรรม์ของคุณสามารถช่วยให้คุณสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันที่เพียงพอและความสามารถในการจ่ายได้

    mrkumka เราเป็นบริษัทเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินแห่งใหม่ โดยมีเป้าหมาย ให้ทุกคนเข้าถึงง่าย สะดวก และโปร่งใส เพราะเราเข้าใจ และทำให้การประกันภัย และผลิตภัณฑ์ทางการเงินง่ายขึ้น เพื่อให้คุณได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน เรามุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตตามชื่อของเราและมอบ ‘ความคุ้มค่า’ ให้กับลูกค้า

  • แจกวิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือน พร้อมตัวช่วยการออมเงิน

    วิธีเก็บเงิน มนุษย์เงินเดือน

    ในปัจจุบัน วิธีเก็บเงินของมนุษย์เงินเดือนถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะในยามที่เราจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ เงินเก็บในส่วนนี้จะเป็นเงินสำรองให้คุณในวันที่สภาพการเงินขัดข้อง แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่า วิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ 12,000 บาท จะเก็บเงินได้จริงเหรอ? เนื่องจากค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนก็มีต้องจัดการ อีกทั้งเงินเดือนที่มีอยู่จำกัดนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บเงินเป็นก้อนใหญ่ แต่ความจริงแล้ววิธีการออมเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนสามารถทำได้ ไม่ว่าจะมีเงินเดือนเท่าไหร่ก็ตาม

    แอปเก็บเงินเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะทำให้การเก็บเงินเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้ที่กำลังหาวิธีเก็บเงินสไตล์มนุษย์เงินเดือนอย่างเราเป็นอย่างมาก เราสามารถแบ่งเงินออมได้เป็นกระเป๋าย่อย แถมยังมีฟังก์ชันจดบันทึกอื่น ๆ ให้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการออมเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนกันได้เลย! 


    1. ตั้งเป้าหมายในการเก็บเงิน

    หากคุณอยากทราบวิธีเก็บเงินของมนุษย์เงินเดือน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี วิธีแรกที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองนั่นก็คือ การตั้งเป้าหมายในการออมเงินในแต่ละเดือน ซึ่งไม่ว่าคุณจะมีเงินเดือนเท่าไหร่ก็สามารถใช้วิธีการออมเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนวิธีนี้ได้ โดยเป้าหมายเริ่มแรกมีดังนี้

    • การตั้งเป้าหมายเก็บเงินเพื่อมีเงินสำรอง

    เราไม่มีทางรู้อนาคตข้างหน้าว่าเราจะมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่เราไม่คาดคิดหรือไม่ ซึ่งวิธีเตรียมตัวเก็บเงิน เพื่อเตรียมเงินสำรองเอาไว้เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อสภาพคล่องทางการเงินในอนาคต

    การตั้งเป้าหมายเก็บเงินเพื่อสำรองค่าใช้จ่าย ควรออมเงินเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยประมาณค่าใช้จ่ายรายเดือน x 12 เช่น ค่าใช้จ่ายทุกเดือนอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท เงินสำรองที่ควรมี 1 ปี จะเท่ากับ 120,000 บาท 

    วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีเงินสำรองเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องเป็นเงินเก็บ 1 ปี นั้นมาจากการคาดการณ์สำหรับผู้ที่ตกงาน คนส่วนใหญ่จะหางานใหม่ได้ภายในเวลา 6-12 เดือน ทำให้วิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนแบบนี้ช่วยให้การดำเนินชีวิตระหว่างไม่มีรายได้

    • การตั้งเป้าหมายเก็บเงินเพื่อให้รางวัลตัวเอง

    วิธีเก็บเงินของมนุษย์เงินเดือนด้วยเป้าหมายต่อมาคือ การเก็บเงินเพื่อให้รางวัลตัวเอง เป้าหมายนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและการหาความสุข เพราะหากทุกคนตั้งเป้าหมายในการเก็บเงินสำรองเพียงอย่างเดียว โดยไม่นำเงินไปใช้จ่ายเพื่อความสุขส่วนตัวเลยอาจทำให้เกิดความเครียดจนเกินไป ซึ่งทางที่ดีคือคุณควรมีความยืดหยุ่นในการเก็บออม เพื่อให้รางวัลชีวิตตัวเองในวันที่เหนื่อยล้าจากการทำงานบ้าง

    โดยวิธีการออมเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนเพื่อวางแผนใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน ซึ่งอาจจะเริ่มต้นจากการกำหนดราคาของที่เราอยากได้ และทำตารางการออมเงินในแต่ละวันว่าเราต้องการเก็บเงินให้ได้เท่าไหร่ในระยะเวลากี่เดือน เมื่อเวลาผ่านไปตามระยะเวลาที่เรากำหนด เงินที่เราออมทุกวันก็จะเพียงพอที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว

    2. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย

    วิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนด้วยการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นส่วนสำคัญในเรื่องการเงิน ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือผู้ที่กำลังทำธุรกิจ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยให้คุณใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาดมากขึ้น เพราะทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของพฤติกรรมในการใช้จ่ายของตัวเอง และถือเป็นที่ช่วยย้ำเตือนกับตัวเองว่า เราหมดค่าใช้จ่ายไปกับเรื่องไหนมากเกินความจำเป็นหรือเปล่า ซึ่งหากมีค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ควรปรับลด เราก็จะสามารถแก้ปัญหาการใช้เงินได้อย่างตรงจุดมากขึ้นในอนาคต

    3. กำหนดเงินที่จะใช้รายวัน

    การกำหนดเงินที่จะใช้รายวัน เป็นวิธีการเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนที่ส่งผลดีต่อพฤติกรรมในการใช้จ่ายของเราได้เป็นอย่างดี เพราะวิธีนี้เราได้เคยทำสมัยที่เราเป็นเด็กที่จะได้เงินใช้ในแต่ละวัน ซึ่งเราต้องทำการจัดสรรเงินในส่วนนี้เองว่าจะนำไปใช้จ่ายกับอะไรได้บ้าง โดยการที่เรากำหนดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของตัวเองที่สามารถใช้ได้นั้น จะเป็นการสร้างนิสัยให้เรารู้จักการชั่งน้ำหนักก่อนการตัดสินใจ และเป็นการจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่าย วิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถควบคุมรายจ่ายในแต่ละวันของเราได้ดียิ่งขึ้น

    4. เริ่มต้นวางแผนการเก็บเงิน

    การวางแผนการเงินเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นศึกษาเรื่องวิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนที่ทุกคนควรหมั่นฝึกให้เป็นนิสัย เพราะจะทำให้เราไม่เป็นหนี้สิน ช่วยให้มีเงินสำรอง และสามารถลงทุนต่อยอดในอนาคตได้ ซึ่งการเริ่มต้นวางแผนเก็บเงินนี้จะส่งผลให้คุณมีเงินเก็บหลังเกษียณอีกด้วย

    การเก็บเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณ ถือเป็นวิธีการเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนที่ควรวางแผนตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน เพราะหลังเกษียณเราไม่สามารถหารายได้เหมือนเดิม โดยเป้าหมายการออมเราอาจจะเริ่มต้นด้วยการเก็บออมเงินทีละน้อยแล้วค่อยขยับเป้าหมายให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น ด้วยการแบ่งเงินออกเป็นสัดส่วนเพื่อแบ่งค่าใช้จ่ายให้เราสามารถจัดการเงินในแต่ละส่วนที่แบ่งไว้ง่ายยิ่งขึ้น

    5. ลงทุนต่อยอดเพื่ออนาคต

    วิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนในระยะยาวที่เห็นผลนั่นก็คือ การเก็บเงินเพื่อการลงทุนเพื่อต่อยอด เป็นวิธีการออมเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต โดยคุณสามารถตั้งเป้าหมายการออมเพื่อลงทุนเพื่อต่อยอดในอนาคตได้ตั้งแต่วัยทำงาน ซึ่งเราแนะนำให้คุณออมเงิน 1,000 บาท เป็นประจำทุกเดือน และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในแหล่งอื่น ๆ ต่อไป

    สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนควรศึกษารายละเอียดการลงทุนให้ดีเสียก่อน เพราะการลงทุนนั้นมาคู่กับความเสี่ยงและมีโอกาสขาดทุน เราแนะนำให้คุณเลือกลงทุนในรูปแบบที่ความเสี่ยงต่ำ อย่างการฝากเงินไว้ในบัญชีของแอปพลิเคชัน MAKE by KBank ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 1.5% ต่อปี เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการออมเงินเป็นอย่างมาก


    แนะนำแอปเก็บเงิน สไตล์มนุษย์เงินเดือน

    แอปออมเงินมนุษย์เงินเดือน

    “MAKE by KBank”

    แอปพลิเคชัน MAKE by KBank เป็นตัวช่วยสำคัญของคนยุคใหม่ที่จะช่วยแบ่งเงินเก็บของคุณออกเป็นสัดส่วนได้ตามที่ต้องการ ไม่ว่าต้องการจะเก็บเงินไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเก็บเงินไว้ให้รางวัลกับตัวเองก็สามารถแบ่งเงินออกเป็นกระเป๋าย่อย รวมถึงยังสามารถบันทึกรายรับรายจ่ายได้ง่าย ๆ พร้อมทั้งบันทึกการทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้กับคุณได้ในแอปเดียว โดยแอป MAKE by KBank ยังมีฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้วิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนของคุณง่ายดายยิ่งขึ้นอย่าง Cloud Pocket และ Expense Summary ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

    • Cloud Pocket

    Cloud Pocket เป็นฟีเจอร์ที่จะช่วยให้คุณสามารถแบ่งเงินออกเป็นสัดส่วนไว้สำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าเงินเหล่านั้นนำไปใช้ หรือเก็บออมสำหรับอะไรบ้างนั่นเอง ซึ่งเมื่อมีรายรับเข้ามาแล้ว คุณก็สามารถแบ่งเงินเก็บไว้ตามกระเป๋าที่สร้างได้โดยไม่จำกัดจำนวน เช่น ค่าเช่าห้อง, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร หรือค่าอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงกระเป๋าสำหรับลงทุน ประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิต เป็นต้น 

    นอกจากนี้ เพียงแค่คุณเปิด Shared Cloud ก็สามารถเก็บเงินร่วมกับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย แถมยังโปร่งใส สมาชิกทุกคนจะสามารถเห็นทุกยอดค่าใช้จ่ายที่ถูกโอนเข้าหรือออกจากกระเป๋าเรียกได้ว่าสะดวกสบายและทันสมัยเป็นอย่างมาก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เงินเดือนที่ใฝ่ฝันจะมีเงินเก็บก้อนใหญ่อย่างมาก อีกทั้ง Cloud Pocket เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์น้องใหม่ให้คุณออมเงินอย่างสนุก เพียงแค่ตั้งชื่อ Cloud Pocket ว่า “แผ่นออมเงิน” หรือใส่อีโมจิ ”” แทนการตั้งชื่อ แล้วตั้งล็อก Cloud Pocket ก็จะพบกับน้องเมค ผู้ช่วยบริหารเงินสุดอัจฉริยะ ที่พร้อมออกแบบตารางออมเงิน ช่วยให้คุณวางแผนเก็บเงินรายวันง่ายๆ  

    • Expense Summary

    Expense Summary เป็นฟีเจอร์ที่จะคอยสรุปค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของคุณว่า หมดไปกับหมวดหมู่สินค้าประเภทใดบ้าง ทั้งหมวดอาหาร, ช็อปปิง, ความบันเทิง, การเดินทาง และอื่น ๆ อีกมากมาย ให้คุณได้เห็นภาพรวมในการใช้จ่ายของคุณว่ามีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไร ใช้จ่ายไปมากน้อยแค่ไหน และใช้จ่ายเกินกว่าของเขตที่กำหนดหรือไม่ เพื่ออนาคตคุณจะได้ปรับการใช้จ่ายให้สมดุลขึ้น เท่านี้เป้าหมายที่ทุกคนที่อยากได้วิธีเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนก็สามารถเป็นจริงได้แล้ว


    สรุปวิธีเก็บเงินสไตล์มนุษย์เงินเดือน

    หากใครที่ยังเป็นกังวลเกี่ยวกับการเงินของตัวเอง อยากมีเงินเก็บสักก้อนแต่ยังไม่ถึงเป้าเสียทีสามารถนำเอาวิธีการออมเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนที่กล้าวไปข้างต้นไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหน มีเงินเดือนเท่าไหร่ก็สามารถนำไปปรับใช้ ยิ่งเด็กยุคใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน สามารถเก็บเงินได้โดยไม่ต้องรอ 

    สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเงินแต่ไม่มีเวลามาสรุปรายรับ-รายจ่ายในแต่ละวัน แอปเก็บเงิน MAKE by KBank เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้การเก็บเงินของคุณสะดวกสบายมากขึ้น เพราะแอปพลิเคชันนี้จะทำให้เราสามารถจัดระเบียบค่าใช้จ่ายให้เป็นสัดส่วน และทราบพฤติกรรมในการใช้จ่ายของตัวเองมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยในการเก็บเงินที่เหมาะสำหรับคนยุคใหม่เป็นอย่างมาก


  • 10 เคล็ดลับซื้อแหวนเพชรอย่างไรไม่ให้ถูกหลอกจาก Ananta

    เพชร อัญมณีล้ำค่าที่มีความสวยงามที่สุด และมีมูลค่าสูง ยิ่งนำมาทำอัญมณีเครื่องประดับตกแต่งยิ่งทำให้ของสิ่งนั้นมีมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหวนเพชร เครื่องประดับยอดนิยมที่หลายๆ คนชื่นชอบและ หลงไหลในความสวยงาม และถ้ามีโอกาสอยากมีไว้ครอบครองด้วยเช่นกัน

    ปัจจุบันแหวนเพชรมีรูปแบบการดีไซน์ และราคาที่หลากหลายตามน้ำหนัก, สี, ความบริสุทธิ์, รูปแบบการเจียระไน และยิ่งเป็นเพชรที่หายากยิ่งมีมูลค่าสูง จึงทำให้มีแหวนเพชรปลอม หรือเพชรเทียมวางจำหน่ายจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อทดแทนเพชรแท้ที่มีราคาสูงเกินกำลังซื้อของลูกค้านั่นเอง แล้วถ้าอยากได้แหวนเพชรแท้สักวงต้องดูอย่างไรจึงจะไม่ถูกหลอก เรามี 10 เคล็บลับในการเลือกซื้อเพชรอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก

    1.ตรวจสอบใบรับรองคุณภาพของเพชร (Certificate)

    เป็นเทคนิคแรกที่ต้องดูคือ เพื่อให้แน่ใจว่าแหวนเพชรที่เราจะซื้อนั้นเป็นเพชรแท้หรือไม่ โดยการขอดูใบรับรองคุณภาพของเพชร หรือใบเซอร์ (Certificate) ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของตัวเพชร, สีของเพชร, น้ำหนัก และการเจียระไน ซึ่งถ้าเป็นเพชรแท้จะระบุ Natural Diamond ลงในใบเซอร์ นอกจากนี้ภายในเพชรจะมีเลขที่ถูกเลเซอร์สลักไว้ และจะต้องตรงกับตัวเลขที่ระบุไว้ในใบเซอร์อีกด้วย

    2.สังเกตวัสดุที่ใช้ทำตัวเรือนแหวนเพชร

    เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จำเป็นต้องรู้ไว้! เพชรแท้จะต้องอยู่บนเรือนแหวนที่ผลิตจากทองคำ, ทองคำขาว หรือแพลทินัมเท่านั้น หากไม่ใช่วัสดุเหล่านี้ให้สันนิษฐานว่าแหวนเพชรนั้นปลอมแน่นอน ซึ่งถ้าตัวเรือนแหวนเป็นทองคำภายในขอบแหวนจะสลักอักษร 10K, 14K หรือ 18K หากสลักด้วย PT ตัวเรือนแหวนทำจากแพลทินัม แต่ถ้าเจอตัวเรือนแหวนที่สลักด้วย C.Z. แสดงว่าแหวนเพชรนั้นเป็นของปลอม

    3.ใช้เครื่องมือตรวจเพชรในการตรวจสอบ

    เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำมากที่สุด! จะต้องใช้เครื่องมือในการตรวจสอบแหวนเพชร ซึ่งปัจจุบันร้านขายเพชรส่วนใหญ่จะมีเครื่องมือนี้ติดตั้งไว้ที่ร้านเพื่อความมั่นใจทั้งคนซื้อ และผู้ขาย โดยเครื่องมือนี้จะตรวจสอบเพชรโดยดูค่าการนำความร้อน และค่าดัชนีความหักเหของเพชรซึ่งให้ผลที่แม่นยำ อย่างไรก็ตามเครื่องมือนี้จะสามารถตรวจได้เฉพาะเพชรแท้กับเพชรเทียมเท่านั้น แต่ไม่สามารถตรวจสอบเพชรแท้กับเพชรสังเคราะห์ได้

    4.ตรวจสอบโดยใช้แสงยูวี (UV) หรือแสงแดด

    เป็นวิธีตรวจสอบแหวนเพชรแท้ที่คลาสสิก ง่าย ๆ ไม่ยาก ใช้หลักการเดียวกับการตรวจธนบัตรแท้เพื่อส่องดูลายน้ำนั่นเอง โดยวิธีการนี้จะนำแหวนเพชรยกขึ้นมาวางเพื่อโดนแสงยูวี หรือแสงแดด ถ้าเป็นแหวนเพชรแท้จะเรืองแสงสีฟ้าออกมา แต่ถ้าเป็นแหวนเพชรเทียมจะมีสีอื่น ๆ ปะปนมานั่นเอง

    5.ตรวจสอบน้ำหนักของเพชร

    การตรวจดูน้ำหนักของเพชรแท้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้รู้ว่าเพชรนั้นแท้หรือไม่ ซึ่งเพชรปลอมมักจะมีน้ำหนักที่มากกว่าเพชรแท้ประมาณครึ่งเท่า เช่น ถ้าเพชรมีขนาดหน้าตัด 10 มิลลิเมตร น้ำหนักเพชรจะอยู่ที่ประมาณ 1 กะรัต แต่ถ้ามีน้ำหนักมากกว่านั้นให้สงสัยได้เลยว่าเพชรนั้นเป็นของปลอมแน่นอน

    6.สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า

    การดูเพชรแท้สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า โดยนำเพชรมาคว่ำหน้าลงบนกระดาษที่มีตัวอักษร ถ้าเป็นเพชรแท้จะไม่สามารถมองเห็นตัวอักษรได้เลย เพราะเพชรแท้มีการหักเหแบบเดี่ยว แต่เพชรปลอมมีการหักเหแบบคู่ทำให้สามารถมองเห็นตัวอักษรได้

    7.ลมหายใจสามารถทดสอบเพชรแท้-เพชรปลอมได

    เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เบสิกมาก ง่าย ๆ ไม่ยาก เพียงแค่หายใจใส่ที่เพชรที่ต้องการทดสอบ ถ้าเป็นเพชรแท้จะไม่เกิดฝ้า หรือมีไอน้ำเกาะที่ตัวเพชรเลย หรือถ้ามีจะหายไปเองอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเพชรปลอม หรือเพชรสังเคราะห์เมื่อหายใจใส่จะมีไอน้ำ หรือฝ้าเกาะที่ตัวเพชรประมาณ 2-3 นาที

    8.ใช้กล้องส่องพระตรวจสอบเพชรแท้ได้

    หากคุณเป็นนักเล่นพระอยู่แล้ว หรือมีกล้องส่องพระอยู่ในมือ นั่นคืออุปกรณ์ตรวจสอบชั้นดี เพราะสามารถทำให้มองเห็นรายละเอียดของเพชรได้อย่างชัดเจน โดยถ้าเป็นเพชรแท้จะมีเหลี่ยมที่ชัดเจน ดูคม ไม่มีร่องรอยขีดข่วน แต่ถ้าเป็นเพชรปลอมจะไม่มีความคม และมีรอยต่าง ๆ ได้ง่าย และการเจียระไนเพชรจะดูแตกต่างได้อย่างชัดเจน

    9.เพชรแท้จะจมน้ำทันที!

    การใช้น้ำ เป็นวิธีทดสอบเพชรแท้เพชรเทียมได้เป็นอย่างดี โดยดูที่ความถ่วงจำเพาะ ซึ่งหากคุณต้องการทดสอบเพชรเพียงแค่นำเพชรไปใส่ในน้ำ ถ้าเป็นเพชรแท้จะจมน้ำทันที ไม่ลอยน้ำ แต่ถ้าเป็นเพชรปลอม หรือเพชรสังเคราะห์จะลอยน้ำได้อย่างชัดเจน เพราะเพชรปลอมทำจากพลาสติกจึงลอยน้ำนั่นเอง

    10.การสะท้อนแสง และการหักเหของแสงเป็นวิธีทดสอบชั้นดี

    สำหรับเทคนิคทดสอบแหวนเพชรแท้สุดท้ายนี้ให้ดูที่การกระจายแสงของเพชร ถ้าเป็นเพชรแท้จะมีการกระจายแสงที่สูงมาก และจะสะท้อนแสงสีเทาปนสีรุ้งออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน และสามารถมองเห็นการหักเหของแสงได้แม้จะอยู่ในที่มืด

    ถ้าหากสนใจซื้อแหวนเพชรสามารถดูได้ที่นี่ https://anantajewelry.com/jewelry/all-categories/rings.html และทั้งหมดนี้คือ 10 เทคนิคการดูแหวนเพชรแท้ และแหวนเพชรเทียม ซึ่งแต่ละเทคนิคเป็นวิธีพื้นฐานที่สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเอง ไม่ยุ่งยาก และสามารถช่วยให้คุณสามารถแยกแหวนเพชรแท้ แหวนเพชรเทียมได้ในเบื้องต้น อย่างไรก็ตามเพื่อความแม่นยำแบบ 100 % จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง และเลือกซื้อแหวนเพชรจากร้านที่มีชื่อเสียง และมีความน่าเชื่อถือทั้งนี้เพื่อให้คุณได้แหวนเพชรแท้น้ำดี สวยงามตรงตามความต้องการ และที่สำคัญไม่โดนหลอกขายแหวนเพชรปลอมให้เจ็บใจนั่นเอง